มุมมองล่าสุดของโนมูระฯ ต่อการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดือนมิ.ย. 62

  • Shares :

 

 

การประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือ FOMC ในวันที่ 20 มิ.ย. 62 ที่ผ่านมา

ได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate)

 

 

 

สาเหตุมาจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่ทรงตัว โดยถ้อยแถลงนั้นได้กล่าวถึงนโยบายในอนาคตที่จะเน้นเสถียรภาพของการเติบโตเป็นหลัก

 

 

ในส่วนของประมาณการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (หรือที่เรียกว่า Fed Dot Plot) ได้บ่งชี้ถึงทิศทางที่จะปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โนมูระฯ เชื่อว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Fed Fund Rate ลง 2 ครั้งในการประชุมเดือน ก.ค.และเดือน ธ.ค.ของปีนี้ ถึงแม้ว่าห้วงเวลาในการปรับลดครั้งที่ 2 นั้นยังมีความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร

 

 

เราเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3 ยังคงอยู่ในทิศทางที่อ่อนตัวลง(ประมาณการณ์ที่ 1.7%) ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 (ประมาณการณ์ที่ 2.3%) และไตรมาสที่ 1 ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.1%

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยผลการประชุมระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สีจิ้นผิงในการประชุม G20 ที่โอซาก้าในปลายเดือน มิ.ย. นี้ มุมมองของเรายังคงเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากทีเดียวที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากจีนในวงเงินที่สูงถึง 3แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐในท้ายที่สุด

 

 

 

 

ภายใต้ความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่พุ่งสูงขึ้น เราคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะมีการปรับลด Fed Fund Rate ลง 0.25% ในการประชุม FOMC ปลายเดือน ก.ค. (ถึงแม้ว่าตลาดจะคาดการณ์การปรับลดที่มากกว่านั้น)

 

 

อย่างไรก็ดี เราเห็นความเป็นไปได้ต่อการปรับลด Fed Fund Rate ลงอย่างรุนแรงถึง  0.50% ในการประชุมเดือน ก.ค. ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาทั้งการจ้างงาน ยอดค้าปลีก ผลสำรวจแนวโน้มทางธุรกิจ และแน่นอนที่สุดคือผลการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

 

 

ท่ามกลางความเสี่ยงโดยรวมที่สูงขึ้น รวมถึงตัวเลขประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ลดลงนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินในหลายภาคส่วนลดลง เปรียบเสมือนการเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงเข้าสู่ระบบ ส่วนจะสามารถพยุงเศรษฐกิจ รวมไปถึงตลาดการเงินต่างๆได้มากน้อยเพียงใดนั้น ยังเป็นประเด็นที่เราต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด 


บทความน่าสนใจอื่นๆ