ไตรมาสสุดท้าย กับความท้าทายของปีหน้า

  • Shares :

 

 

เผลอแป๊บเดียวเราก็เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการลงทุนแล้วนะครับ ต้องยอมรับว่าการลงทุนในปีนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีตลาดหุ้นสหรัฐประเทศเดียว ที่ให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่คุณทรัมป์ประกาศลดภาษีให้กับบริษัทจดทะเบียน จึงทำให้ผลประกอบการของบริษัทออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

 

ส่วนตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ผลตอบแทนก็ไม่สู้จะดีนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในฝั่งตลาดเกิดใหม่ อันนี้ก็มีผลมาจากคุณทรัมป์อีกเช่นกัน ที่อยู่ดีๆ ก็ตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซ้ำไปกว่านั้นตลาดเกิดใหม่บางตลาดยังมีความอ่อนแอเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาดดุลการค้า การคลัง การที่ประเทศมีเงินทุนสำรองน้อย การมีหนี้สูง พอมีเรื่องเงินทุนไหลออก ค่าเงินก็อ่อนแอ ความน่าเชื่อถือของประเทศก็น้อยลง ก็วนกันจนเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ

 

 

9 เดือนที่ผ่านมาว่าการลงทุนไม่ง่ายแล้วนะครับ ไตรมาส 4 และปีหน้าก็ยังมีความท้าทายอีกหลายด้านที่จะเข้ามาทดสอบตลาด ทดสอบการจัดพอร์ตการลงทุนของเพื่อนๆ ครับ วันนี้ผมขอมาสรุปความท้าทายที่จะเกิดกับการลงทุนให้เพื่อนๆเตรียมรับมือ เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมนะครับ

 

 

1. ความท้าทายแรกคงหนีไม่พ้นสภาวะที่เรียกว่า Stagflation ภาวะแบบนี้ผมถือว่าเป็นภาวะกระอักกระอ่วนของผู้คุมนโยบายนะครับ เพราะเป็นภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอ แต่เงินเฟ้อยังในระดับที่สูงอยู่ จะใช้นโยบายการเงินอย่างการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ทำไม่ได้เพราะเงินเฟ้อค้ำคอ หรือจะใช้นโยบายการคลังกระตุ้นก็จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น กลืนไม่เข้าคายไม่ออกครับ

 

 

2. เศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศน่าจะเริ่มเห็นการชะลอตัว อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า ปัจจัยนี้น่าจะเห็นชัดในฝั่งสหรัฐนะครับ เพราะมาตรการภาษีน่าจะจางลงในช่วงไตรมาสที่สองของปีหน้า ถ้าเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคชะลอ ก็เป็นไปได้ที่จะดึงให้เศรษฐกิจทั้งโลกชะลอนะครับ

 

 

3. สภาพคล่องที่จะค่อยๆ หายออกไปจากระบบ จากการหยุดทำ QE ของสหรัฐ และยุโรปเพื่อนๆ ต้องไม่ลืมนะครับ ว่าการขึ้นของตลาดหุ้นรอบนี้มีผลมาจากการที่สภาพคล่องที่ล้นระบบ เมื่อสภาพคล่องหายไปก็น่าจะส่งผลกระทบกับการโยกย้ายเงินลงทุน รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ใช่น้อยนะครับ ตลาดขึ้นเพราะสภาพคล่องล้น ถ้าตลาดจะลงเพราะสภาพคล่องหด ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกนะครับ

 

 

4. การได้รับคะแนนนิยมที่มากขึ้นของพรรคประชานิยม เห็นได้จากการเลือกตั้งในหลายๆ ประเทศ ผู้ที่มีแนวคิดแบบประชานิยมเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ข้อนี้จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของหลายๆ ประเทศ ในอนาคตเราอาจจะเห็นนโยบายแปลกๆ แบบไม่สนใจผลกระทบใดๆ มากขึ้นนะครับ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างนโยบาลการกีดกันทางการค้าแบบสุดโต่ง หรือนโยบายการใช้งบขาดดุลที่มากจนเกินพอดี เป็นต้นนะครับ ข้อนี้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นแหละครับ ตลาดหุ้นขึ้นได้เพื่อนความเชื่อมั่นนะครับ

 

ที่เล่ามานี่เป็นเพียงตัวอย่างของความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นนะครับ ไม่ได้จะขู่ให้กลัวจนไม่ลงทุนนะครับ แค่อยากให้เพื่อนๆระวังให้มากขึ้น จัดการกระจายการลงทุนให้ดีพอครับ เพราะการลงทุนถ้ากระจายดีพอ ผลตอบแทนมันก็มักจะคุ้มกับความเสี่ยงเสมอครับ

 

ขอให้เพื่อนๆโชคดีในการลงทุนทุกคนครับ


บทความน่าสนใจอื่นๆ